วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555
การดูลักษณะทั่วไปของถั่วฮามาต้า(ถั่วเวอราโนสไตโล)
ถั่วฮามาต้า เป็นถั่วค้างปี จะมีอายุได้ประมาณ 2-3 ปี ลักษณะเป็นพุ่มเตี้ยตั้งตรง และแตกกิ่งก้านแผ่คลุมพื้นที่ได้กว้าง มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง ทนทานต่อการแทะเล็มและการเหยียบย่ำของสัตว์ได้ดี สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินตั้งแต่ดินทรายจนถึงดินร่วนปนดินเหนียว แต่ถ้าดินเหนียวมากๆจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี เพราะถั่วฮามาต้าไม่ทนต่อสภาพพื้นที่ดินชื้นแฉะ และมีน้ำท่วมขัง ถั่วฮามาต้าจะสามารถขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด และในถั่วฮามาต้าจะมีโปรตีนอยู่ประมาณ 16-18%
ที่มา พืชอาหารสัตว์พันธุ์ดี เอกสารคำแนะนำของ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่มาของภาพ รักบ้านเกิด.คอม
ปลูกถั่วฮามาต้า
ถั่วฮามาต้าจะปลูกโดยใช้เมล็ดพันธุ์ ซื่งก่อนปลูกต้องมีการเร่งความงอกของเมล็ดก่อนโดยการแช่เมล็ดในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 5-10 นาที หลังจากนั้น ก็จะใช้เมล็ดที่แช่น้ำร้อนแล้วไปปลูกโดยใช้อัตรา 1.5-2 กิโลกรัม/ไร่ โดยให้หยอดเมล็ดพันธุ์เป็นแถวให้ระยะห่างกัน 30-50 เซ็นติเมตร
ในกรณีที่ปลูกถั่วฮามาต้า ในพื้นที่ดินทรายเนื้อหยาบหรือดินเหมืองแร่เก่า ควรใส่ปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดินขณะเตรียมดิน และไถพรวนกลบปุ๋ยคอกก่อนปลูกถั่วอย่างน้อย 3 สัปดาห์ และก่อนปลูกถั่วฮามาต้า ควรใส่ปุ๋ยผสมสูตร 15-15-15 ในอัตราประมาณ 30-50 กิโลกรัม/ไร่ เป็นปุ๋ยรองพื้น สำหรับในปีต่อๆไปควรใส่ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต(0-46-0) ในอัตราประมาณ 20-30 กิโลกรัม/ไร่ ในขณะที่ดินมีความชื้นเหมาะสม และสับดินกลบในช่วงต้นฤดูฝนของทุกปี
ควรกำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากท่ปลูกถั่วได้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ และกำจัดวัชพืชครั้งที่ 2 หลังจากที่กำจัดวัชพืชครั้งแรกได้ประมาณ 1-2 เดือน
การใช้ประโยชน์ถั่วฮามาต้า
การตัดถั่วฮามาต้ามาให้สัตว์กินครั้งแรก ควรตัดเมื่อถั่วมีอายุ 60-75 วัน โดยให้ตัดสูงจากพื้นดิน 10-15 เซ็นติเมตร สำหรับในกรณีที่ปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็ม ควรปล่อยให้แทะเล็มครั้งแรกเมื่อถั่วอายุ 70-80 วัน และหลังจากนั้นจึงจะทำการตัด หรือปล่อยสัตว์เข้าแทะเล็มเป็นช่วงๆในทุกระยะ 30-45 วัน
ที่มา พืชอาหารสัตว์พันธุ์ดี เอกสารคำแนะนำของ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ลักษณะพิเศษของหญ้ากินนีสีม่วง
หญ้ากินนีสีม่วง (Panicum maximum TD 58) เป็นหญ้าในสกุลเดียวกับหญ้ากินนี มีอายุหลายปีลักษณะเป็นกอตั้งตรง สามารถแตกกอได้ดี มีใบขนาดใหญ่ ใบดกและอ่อนนุ่ม และมีลำต้นสูงใหญ่กว่าหญ้ากินนีธรรมดา สามารถทำการเกษตรเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ได้ สามาถปลูกขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ดและหน่อพันธุ์ หญ้ากินนีสีม่วงสามารถทำการเกษตรได้ทุกสภาพทุกพื้นที่ ตั้งแต่ดินเหนียวจนถึงดินทราย ทนทานต่อสภาพพื้นที่แห้งแล้ง และสามารถเติบโตได้ในสภาพร่มเงา และสามารถตอบสนองต่อการให้น้ำและปุ๋ยได้อย่างดี เหมาะสำหรับปลูกในเขตพื้นที่ชลประทาน โดยให้ผลผลิตน้ำหนักแห้งประมาณ 2-4 ตันต่อไร่ต่อปี มีโปรตีนประมาณื 9-10 เปอร์เซ็นต์
วิธีสกัดน้ำมันจากสาหร่าย
การสกัดน้ำจากสาหร่ายสามารถทำได้หลายวิธี ซื่งวิธีการทางกายภาพคือวิธีที่ง่ายที่สุด โดยจะทำการสกัดน้ำมันโดยใช้เครื่องกรองหรือสารเคมีในการแยกสาหร่ายออกจากน้ำที่ใช้เพาะเลี้ยง และจะทำให้สาหร่ายรวมตัวกันเป็นก้อน และจากนั้นก้อนสาหร่ายจะถูกนำไปปั่นในเครื่องเหวี่ยงเพื่อลดความชื้นจากสาหร่าย และขั้นตอนสุดท้ายคือการแยกน้ำมันโดยการใช้สารละลาย เช่นเดียวกับที่สกัดน้ำมันจากพืชน้ำมันชนิดอื่นๆเพื่อแยกร้ำมันออกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตของสาหร่าย
วิธีการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย
วิธีการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย
ส่วนวิธีการสกัดน้ำมันจากสาหร่ายวิธีอื่นก็สามารถทำได้ เช่น การทำเป็นของเหลวด้วยเคมีความร้อน (Thermochemical Liquidification) วิธีนี้จะเปลี่ยนสาหร่ายไปเป็นน้ำมันโดยการใช้ความร้อนสูงและความดันสูง การสกัดน้ำมันจากสาหร่ายจะได้น้ำมันประมาณ 30-40 เปอร์เซนต์ โดยน้ำหนัก
ที่มา วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 11/2552
การเลือกสภาพแวดล้อมในการทำการเกษตรสาหร่าย
ผู้ผลิตสาหร่ายสไปรูลิน่าในสหรัฐอเมริกา รายที่ใหญ่ที่สุดมีสองบริษัทคือ Earthrise และ Amway โดยฟาร์มทำการเกษตรเลี้ยงสาหร่ายของทั้งสองบริษัทนี้ตั้งอยู่ในเขตทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซิ่งตอนกลางวันจะมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส แสดงว่าสาหร่ายสามารถทนอากาศร้อนได้ดี
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงสาหร่าย
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงสาหร่าย
และเนื่องจากสาหร่ยที่สามารถผลิตน้ำมัน สามารถเพาะเลี้ยงได้ในน้ำเค็ม จึงไม่มีปัญหาในการแย่งน้ำจืดจากการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ส่วนพื้นที่ที่เหมาะสมในการเลี้ยงสาหร่ายก็คือสภาพทะเลทรายที่แห้งแล้ง ซื่งไม่เหมาะสมที่จะปลูกพืชชนิดอื่นอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องไปแย่งพื้นที่ปลูกพืชชนิดอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตามสาหร่ายสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี แม้ในน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วก็ยังสามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายได้
ที่มา หนังสือเกษตกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 11/2552
การเพาะเลี้ยงสาหร่าย ลดโลกร้อน
สาหร่ายสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงได้เท่าที่ต้องการ เพราะในการทำการเกษตรสาหร่ายนั้น สาหร่ายจะโตเร็วกว่าพืชชนิดอื่นๆเพราะเติบโตโดยการแบ่งเซลล์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็มพื้นที่หรือจนกว่าจะไม่มีสารอาหาร ซื่งในการเจิญเติบโตสาหร่ายจะใช้น้ำและแสงแดดน้อยกว่าพืชทั่วไปและจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้นเมื่อมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์และธาตุอาหารเพิ่มขึ้น
การเกษตรเรื่องสาหร่าย
การเกษตรเรื่องสาหร่าย
จากการวิจัยพบว่าสาหร่ายจะใช้คาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าพืชชนิดอื่น ซื่งก็จะทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลดลงไปด้วย
ผลิตสาหร่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต
จากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้ข้อสรุปที่กล่าวได้ว่า สาหร่าย(Algae) เป็นพืชที่ผลิตน้ำมันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาพืชทั้งหมดบนโลกนี้ ในอนาคตสาหร่ายจึงเป็นพืชพลังงานที่มีความสำคัญมกที่สุด
โดยนักวิทยาศาสตร์ที่สถานีทดลองพลังงานทดแทนแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา(NREL) ได้เพาะเลี้ยงและรวบรวมสาหร่ายไว้กว่า 300 สายพันธุ์ที่เจริญเติบโตโดยการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์และผลิตน้ำมัน โครงการไบโอดีเซลจากสาหร่ายของ NREL ได้สร้างบ่อสำหรับเพาะเลี้ยงสาหร่ายไว้ในหลายพื้นที่รวมทั้งบริเวณใกล้ทะเลทรายในนิวเม็กซิโก ผลการทดลองทำให้ต้องประหลาดใจกับปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้
โดยสาหร่ายจะเจริญเติบโตเร็วมาก คิดเป็นน้ำหนักได้ 50 กรัมต่อตารางเมตร/วัน ดังนั้นในบ่อทดลองที่มีขนาด 1,000 ตารางเมตร จึงสามารถผลิตสาหร่ายได้ 50,000 กรัม/วัน (50กิโลกรัม/วัน) ซื่งสาหร่ายสามารถสกัดไปเป็นน้ำมันได้ถึง 50 เปอร์เซนต์ ก็เท่ากับในบ่อพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรก็จะได้น้ำมัน 25 กิโลกรัม/วัน ดังนั้นใน 1 ปีก็จะสามารถผลิตน้ำมันได้ 9,125 กิโลกรัม (7,600ลิตร) ซื่งสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่าพืชชนิดอื่น เช่น คาโนลา หลายเท่า
นักวิจัยของ NREL ยังระบุว่าหากมีการพัฒนาการเพาะเลี้ยงและการสกัดน้ำมันจากสาหร่าย แบบโรงงานขนาดใหญ่ ต้นทุนในการผลิตน้ำมันไบโดีเซลจากสาหร่ายจะมีเพียงลิตรละ 12 บาท เท่านั้น
คอกเลี้ยงหมูต้นทุนต่ำ
การเลี้ยงหมูแบบเก่านั้นเกษตรกรนิยมทำคอกหมูโดยใช้ปูนเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาดและการดูแลคอกหมู ซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุหลักเช่นกันที่ทำให้หมูมีอาการเครียด หงุดหงิด และทำให้ป่วยได้ง่าย แต่ในปัจจุบันเกษตรกรได้มีการปรับเปลี่ยนโรงเรือนในการเลี้ยงหมูใหม่ โดยมีพื้นที่อ่อนกว่าเดิม คอกหมูควรมีขนาดที่รองรับจำนวนหมูได้เป็นอย่างดีไม่ควรแคบจนเกินไปเพราะจะทำให้หมูอึดอัดและเกิดอาการเครียดได้ อีกทั้งยังจะนำมาซึ่งโรคระบาดอีกด้วย สิ่งแรกที่เกษตรกรต้องทำคือการขุดพื้นของคอกหมูโดยให้มีความลึกประมาณ 90 ซม. จากนั้นให้ทำการมุงหลังคาโดยชายคาต้องมีขนาดกว้างพอเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ฝนสาดเมื่อถึงฤดูฝน หลังจากนั้นให้ทำการตีฝาคอกหมู โดยต้องใช้ไม้ไฝ่หรืออิฐบล็อคกั้นบริเวณรอบคอกหมูให้มีความลึกลงไปจากพื้นดินประมาณ 40-50 ซม. เพื่อป้องกันหมูออกจากคอก ข้อควรระวังคือ บริเวณที่ทำคอกหมูต้องไม่เป็นที่ ๆ มีน้ำท่วมขังและต้องเป็นที่ร่มหรือใต้ร่มไม้ มีอากาศถ่ายเทได้ดี เนื่องจากหมูเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอากาศร้อน
วิธีการเตรียมพื้นคอกหมู
เมื่อเกษตรกรขุดหลุมเสร็จแล้ว ให้ทำการปูพื้นคอก โดยมีส่วนผสมดังนี้ แกลบ 10 ส่วน ดินละเอียด 1 ส่วน จากนั้นให้นำส่วนผสมทั้ง 2 อย่างเทลงก้นหลุมที่ขุดไว้ให้มีความหนาประมาณ 30 เซนติเมตร จากนั้นให้ใช้เกลือเม็ดประมาณครึ่งลิตรโรยหน้าแล้วนำน้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนผสมลงในน้ำ 10 ลิตร รดให้ทั่วจากนั้นให้ทำอีก 2 ชั้นจนเท่าระดับพื้นดิน จากนั้นให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน เกษตรกรค่อยนำหมูเข้าไปไว้ในคอก และควรทำการราดน้ำหมักชีวภาพลงบนคอกทุก ๆ 5-7 วัน ครั้งละ 1 บัว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ
วิธีการปลูกส้มโอ
ฤดูที่เหมาะสำหรับปลูกส้มโอมากที่สุดคือช่วงต้นฤดูฝน โดยเกษตรกรต้องทำการขุดหลุมให้มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร จากนั้นให้ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันแล้วเทลงในหลุมประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม นำถุงต้นกล้าส้มโอลงในหลุมให้ปากถุงสูงกว่าระดับปากหลุมปลูกเล็กน้อย จากนั้นให้ใช้มีดกรีดถุงออกอย่างระมัดระวังอย่าให้ดินแตกออกจากต้นกล้า จากนั้นให้กลบดินบริเวณโคนต้นกล้าส้มโอให้แน่น นำไม้มาปักและนำเชือกมาผูกเพื่อยึกหลักและต้นส้มโอให้อยู่ด้วยกัน จากนั้นให้น้ำเศษหญ้าหรือฟางคลุมหน้าดินเพื่อป้องมดหรือแมลง รดน้ำให้โชก
วิธีการดูแลรักษาไผ่ตง
การให้น้ำไผ่ตง ต้นไผ่ตงปลูกใหม่ในระยะแรกจะขาดน้ำไม่ได้เกษตรกรจะต้องคอยดูแลรดน้ำให้ดินมีความชื้นอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นเมื่อไผ่ตงตั้งตัวได้ดีแล้ว เกษตรกรควรเว้นระยะห่างออกไป ความถี่ของการให้น้ำขึ้นอยู่กับสภาพความชื้นของดินและเมื่อถึงฤดูแล้งควรหาวัสดุ เช่น หญ้าแห้ง ฟางแห้ง คลุมบริเวณโคนต้น เพื่อรักษาความชื้นให้กับดิน
การใส่ปุ๋ยไผ่ตง ในช่วงปีแรกไผ่ตงสามารถใช้ปุ๋ยที่คลุกเคล้าไปกับดินปลูกได้ในระยะปีต่อ ๆ ไปจำเป็นจะต้องมีการไถพรวนและใส่ปุ๋ย หลังจากเก็บหน่อขายแล้วจะทำการตัดแต่งกอและไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช ปกตินิยมไถพรวนในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน ก่อนที่ดินจะแห้ง เพราะถ้าดินแห้งจะไถพรวนได้ยาก การใส่ปุ๋ยจะใส่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปุ๋ยที่นิยมคือปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักโดยจะใส่ในอัตรา 1-1.5 ตันต่อไร่ หรืออาจใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา 2-4 กก. ต่อกอ ร่วมกับปุ๋ยคอก
การดูแลรักษามะนาว
การให้น้ำ ในช่วงที่ปลูกมะนาวใหม่ๆ ควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย หลังจากมะนาวมีอายุประมาณ 15 วัน ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหาวัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น ควรเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมจนถึงช่วงออกดอกเพื่อให้มะนาวสะสมอาหารให้สูงถึง ระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เดือนเมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก และกำลังติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวต้องการน้ำมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของผล
การใส่ปุ๋ย หลังจากมะนาวอายุได้ 3-4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 0.5 กิโลกรัม โดยใส่บริเวญรอบทรงพุ่ม แล้วก็ให้น้ำตามเพื่อ ให้ปุ๋ยละลายเมื่อมะนาวอายุ 1 ปี ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ต้นละ 300 กรัม และเมื่อมะนาวอายุ 2 ปี ก็เพิ่มปริมาญปุ๋ยโดยใส่ปีละ 2 ครั้ง ๆ ละประมาณ 1 กิโลกรัม และเมื่อมะนาวอายุย่างเข้าปีที่ 3 ก็จะเริ่มให้ผลผลิต ช่วงระยะก่อนออกดอกประมาณ 1-2 เดือน ให้ใส่ปุ๋ย สูตรที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรืออาจใช้ปุ๋ยสูตร 3-10-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะที่ยังไม่ออกดอก และใช้สูตร 0-52-34 ในระยะเร่งการออกดอก ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อต้น
การกำจัดวัชพืช ด้วยวิธี ถอน ถาง หรือใช้เครื่องตัดหญ้า แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดบาดแผลตามโคนต้น หรือกระทบกระเทือนราก หรือจะใช้สารเคมี เช่น พาราชวิท ไกลโฟเสท ดาวพอน โดยการใช้จะต้องระวัง อย่าให้สารพวกนี้ปลิวไปถูกใบมะนาวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทำให้ ใบไหม้เหลืองเป็นจุดๆ หรือไหม้ทั้งใบ ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนลมสงบ
การค้ำกิ่ง เมื่อมะนาวใกล้จะผลิดอกออกผล ต้องมีการค้ำกิ่งให้กับต้นมะนาวด้วย เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักหรือฉีกขาดโดยเฉพาะในช่วงติดผล และยังช่วยลดความเสียหาย เนื่องจากโรคและแมลงได้ โดยวิธีการค้ำกิ่ง สามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1. การค้ำกิ่งโดยการใช้ไม้รวกหรือไม์ไผ่ทำเป็นง่าม สอดเขัากับกิ่งมะนาว ให้ปลายอีกข้างหนึ่งวางตั้งรับน้ำหนักของกิ่งอยู่บนพื้นดิน แล้วใช้เชือกผูกมัดกิ่งไว้ 2. การค้ำกิ่งแบบคอกหรือนั่งร้าน โดยเอาไม้มาทำเป็นนั่งร้านรูปสี่เหลี่ยนรอบๆ ต้นมะนาวเพื่อรองรับกิ่งใหญ่ ๆ ของมะนาวไว้ อาจทำเป็น 2-3 ชั้น แล้วให้กิ่งพาดอยู่ที่ชั้นใดก็ได้ ซึ่งวิธีนื้จะมั่นคงทนทาน และใชัประโยชน์ได้ดีกว่าวิธีแรก
การตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้มะนาวมีทรงพุ่มสวยและให้ผลดกปราศจากการทำลายของโรคและแมลง การตัดแต่งกิ่งควรทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งที่เป็นโรค กิ่งแห้ง กิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด แล้วนำไปเผาทำลาย อย่าปล่อยทิ้งไว้ตามโคนต้น เพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคได้
การเตรียมดินปลูกอ้อย
การเตรียมดินปลูกจะมีผลต่อผลผลิตของอ้อยตลอดระยะเวลาที่ไว้ตอ เพราะ การปลูกอ้อย 1 ครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ถึง 3-4 ปี หรือมากกว่า โดยทั่วไปหลังจากตัดอ้อยตอปีสุดท้ายแล้ว เกษตรกรมักจะเผาเศษซากอ้อยและตออ้อยเก่าทิ้ง เพื่อสะดวกต่อการเตรียมดิน หลังจากไถกลบเศษซากอ้อยลงดินแล้ว ควรมีการปรับหน้าดินให้เรียบและมีความลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อสะดวกในการให้น้ำและระบายน้ำออกจากแปลงกรณีฝนตกหนัก และป้องกันน้ำขังอ้อยเป็นหย่อมๆ เมื่อปรับพื้นที่แล้ว ถ้าเป็นแปลงที่มีชั้นดินดาน ควรมีการใช้ไถระเบิดดินดาน ไถลึกประมาณ 75 เซนติเมตร โดยไถเป็นตาหมากรุก หลังจากนั้น จึงใช้ไถจาน และพรวนตามปกติ
การเตรียมดินปลูกอ้อย
การเตรียมดินปลูกอ้อย
ข้อควรระวังในการเตรียมดิน
ไม่ควรที่มีลักษณะเปียกหรือแห้งจนเกินไป สภาพดินที่จะไถควรมีความชื้นที่พอดี วิธีการไถให้ไถจานสลับกับไถหัวหมู เพื่อไม่ให้ความลึกของรอยไถอยู่ในระดับเดิมตลอด และไม่ควรไถจนดินละเอียดเป็นฝุ่น เพราะเมือถูกฝนหรือเวลาให้น้ำจะทำให้ดินอุดอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ทำให้การระบายน้ำและอากาศไม่ดี
การเลือกพันธุ์อ้อย
พันธุ์อ้อยที่ใช้ควรเป็นพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีกับสถาพแวดล้อม ในแต่ละแหล่งปลูก พันธุ์อ้อยที่เกษตรกรใช้ในปัจจุบัน ในแต่ละภาคจะหลากหลายมาก และส่วนใหญ่เกษตรกรจะเป็นผู้ทดสอบเองว่าอ้อยพันธุ์ไหนเหมาะสมกับสถาพดินของ ตนเอง
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 6 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตกึ่งชลประทาน
อ้อยพันธุ์ มุกดาหาร สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียวปนทรายในจังหวัดมุกดาหาร และกาฬสินธุ์
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 5 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตใช้น้ำฝนภาคกลาง และภาคตะวันออก
อ้อยพันธุ์ ขอนแก่น 1 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 4 สภาพพื้นที่เหมาะสม ภาคตะวันตก เฉพาะในดินร่วนปน ดินเหนียว
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 3 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทรายสภาพไร่ ใน ภาคตะวันตกและ ภาคเหนือตอนล่าง
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 2 สภาพพื้นที่เหมาะสม เขตชลประทาน ภาคกลางและ ภาคตะวันตก
อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 1 สภาพพื้นที่เหมาะสม ภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม
อ้อยพันธุ์ ชัยนาท 1 สภาพพื้นที่เหมาะสม ภาคตะวันออก
อ้อยพันธุ์ สุพรรณบุรี 50 สภาพพื้นที่เหมาะสม ในเขตภาคกลางและ ภาคตะวันตก
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 94-13 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนทราย เขตน้ำฝน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 98-005 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 98-024 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย ดินเหนียว เขตน้ำฝน และเขตชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 00-148 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 00-92 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝน และชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 00-58 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 00-24 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนทราย เขตน้ำฝน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 00-138 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝนและชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 01-5 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย ดินเหนียว เขตน้ำฝน และเขตชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 01-25 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 01-29 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตน้ำฝน และชลประทาน
อ้อยพันธุ์ กำแพงแสน 98-038 สภาพพื้นที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย เขตชลประทาน
วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555
รายการ วิชาพึ่งตนเอง ตอน ปุ๋ยบำรุงดิน มารู้จักกับ พืชที่ทำน้ำหมักชีวะภาพได้
รายการ วิชาพึ่งตนเอง ตอน ปุ๋ยบำรุงดิน มาเรียนรู้จักกับการบำรุงดิน และ วิธีการนำพืชที่ มีคุณสมบัติ ต่างต่าง ที่ แตกต่างกันมา เช่น พืชรสขมใช้กำจัดแมลง รสจืดใช้บำรุงดิน และวิธีการทำน้ำหมักในแบบต่างๆ
ช่วงที่ 1 สมุนไพร 7 รส สำหรับการเกษตร
ช่วงที่ 2 ทำยาหม่องจากไพรกับพริกขี้หนู
ช่วงที่ 3 ผลิตก๊าซชีวภาพในครัวเรือน
รายการวิชาพึ่งตนเอง โดย สสส. และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 15.05-15.30 น. ทาง ThaiPBS
ช่วงที่ 1 สมุนไพร 7 รส สำหรับการเกษตร
ช่วงที่ 2 ทำยาหม่องจากไพรกับพริกขี้หนู
ช่วงที่ 3 ผลิตก๊าซชีวภาพในครัวเรือน
รายการวิชาพึ่งตนเอง โดย สสส. และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 15.05-15.30 น. ทาง ThaiPBS
รายการ วิชาพึ่งตนเอง ตอน มหัศจรรย์นมแม่ การเลี้ยงดูและให้นมลูกน้อยอย่างถูกวิธี
รายการ วิชาพึ่งตนเอง ตอน มหัศจรรย์นมแม่ นำเสนอเรื่องเด่น วิธีการเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างถูกวิธี
ช่วงที่ 1 วิธีไล่เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลด้วยน้ำมันเครื่องใช้แล้ว
ช่วงที่ 2 การให้นมลูกอย่างถูกวิธี
ช่วงที่ 3 ผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปลาดุก
รายการวิชาพึ่งตนเอง โดย สสส. และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 15.05-15.30 น. ทาง ThaiPBS
ช่วงที่ 2 การให้นมลูกอย่างถูกวิธี
ช่วงที่ 3 ผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปลาดุก
รายการวิชาพึ่งตนเอง โดย สสส. และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 15.05-15.30 น. ทาง ThaiPBS
รายการ วิชาพึ่งตนเอง ตอน สวยด้วยธรรมชาติ เครื่องสำอางแบบสมุนไพรไทย
ช่วงที่ 1 วิธีการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลด้วยแมลง
ช่วงที่ 2 การนวดสัมผัสเด็กแรกเกิด
ช่วงที่ 3 การทำครีมสมุนไพรรักษาฝ้าจากหัวไชเท้า
รายการวิชาพึ่งตนเอง โดย สสส. และบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 15.05-15.30 น. ทาง ThaiPBS
ติดตามรับชมกันเลยครับ
รายการวิชาพึ่งตนเอง ตอน ง่ายนิดเดียว การดูแลสุภาพ แบบ ธรรมชาติบำบัด
รายการวิชาพึ่งตนเอง ตอน ง่ายนิดเดียว การดูแลสุภาพ แบบธรรมชาติบำบัดด้วยตัวคุณเอง มารู้จักกับพืชที่เป็นยาชนิดต่างๆ และ วิธีใช้ ยาสมุนไพรที่ถูกวิธี และเรียนรู้สูตรการ แก้ปัญหาดิน แบบต่างๆ โดยปราชญ์ ผู้รู้ เช่น อ.ยักษ์ และหมอเขียวครับ
รายการวิชาพึ่งตนเอง ตอน วิชาพึ่งตนเอง ตอน ดินเปรี้ยว เค็ม (10พย.55)
วันนี้พามาชมรายการสาระน่ารู้รายการ
ช่วงที่ 1 วิธีแก้ดินเค็ม ดินเปรี้ยว
วิชาพึ่งตนเอง ตอน ดินเปรี้ยว เค็ม
ช่วงที่ 1 วิธีแก้ดินเค็ม ดินเปรี้ยว
ช่วงที่ 2 ออกกำลังกายด้วยยางยืด
ช่วงที่ 3 ทำสปาจาก ผงถ่าน ผงถั่วเขียว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)