วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิถีบ้าน บ้าน ผ่านวิกฤติด้วย โคก-หนอง-นา โมเดล

วิถีบ้าน บ้าน ผ่านวิกฤติด้วย โคก-หนอง-นา โมเดล





หากเราเชื่อมั่นว่า โมเดลที่เหมาะสำหรับต้นน้ำ คือ การปลูกป่า สร้างฝายชุ่มชื้น ทำป่าเปียก ปลูกแฝก โมเดลที่เหมาะกับพื้นที่ราบลุ่มต่ำลงมาก็คือ โมเดลวิถีบ้าน บ้าน “โคก หนอง นา” เพราะด้วยการอยู่กับที่ราบลุ่มที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ด้วยวิถีชีวิตที่มีโคก มีนา มีหนองนั้น ทำให้บรรพบุรุษของเราอยู่รอดได้มาจนถึงวันนี้ เพราะเมื่อย่างเข้าฤดูน้ำหลากบนโคกก็จะเป็นที่สำหรับทำกิน มีต้นไม้ที่ปลูกไว้ เป็นที่หลบน้ำของสัตว์ คน และเป็นที่เก็บอาหารด้วยยุ้งฉางของคนในสมัยก่อน
โมเดล โคก-หนอง-นา จึงเป็นโมเดลที่เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ใช้เป็นต้นแบบตั้งต้นโครงการฟื้นฟูชุมชนในที่ราบลุ่มภาคกลาง ส่วนตอนบนที่เป็นเขาก็จะรณรงค์การทำฝายเพื่อจะเก็บซับน้ำไว้บนเขาให้ได้มาก ที่สุด จากสองโมเดลนี้ลองคิดง่ายๆ จากปริมาณน้ำที่หลากมาในปีนี้ 25,000 ล้าน ลบ.ม. หากน้ำที่โปรยลงเขาได้ถูกซับไปแล้วส่วนหนึ่ง โดยการทำฝายชะลอน้ำให้ซึมซับลงสู่ดินบ้านละ 10,000 ลบ.ม. หากทำทุกบ้าน ล้านครอบครัว น้ำก็จะถูกเก็บไว้บนเขาไปแล้ว 10,000 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่น้ำที่ไหลบ่าลงจากป่าเขาลงมาในพื้นราบก็รณรงค์ให้พี่น้อง ชาวไร่ ชาวนา ขุดแหล่งน้ำเอาที่ดินมาทำเป็นโคกตามโมเดล “โคก-หนอง-นา” ทำเช่นนี้ไว้อีกล้านครอบครัว เก็บน้ำไว้บ้านละ 10,000 ลบ.ม. ต่อครอบครัว ก็ได้แล้วอีก ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำฝนที่ตกลงมา 25,000 ล้านลบ.ม. ก็ถูกเก็บไว้บนเขาเสีย 10,000 ล้าน ลบ.ม. ลงมาข้างล่างทุกบ้านช่วยกันเก็บไว้อีกหนึ่งหมื่นล้าน พอไหลลงมาจริงๆ เหลือเพียง 5,000 ล้าน ลบ.ม. ถ้าในระดับนี้เมืองต่างๆ ตั้งแต่นครสวรรค์ลงมาถึงสมุทรปราการยังไงก็ไม่ท่วม แล้วถ้าพื้นที่ตอนล่างเปิดช่องทางช่วยกันให้น้ำหลากลงไปในท้องนา ลงไปในพื้นที่ทางน้ำหลาก ในร่องสวน ในนา ซึ่งได้เตรียมการรองรับไว้ดีแล้ว ด้วยวิธีการทำนาที่เข้าใจธรรมชาติ ปลูกข้าวด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ ค่อยๆ ปล่อยให้น้ำไหลลงไปข้าวก็จะไม่ตาย
การทำนาด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์นี้ เหมาะกับพื้นที่น้ำหลากเพราะรากของข้าวจะเกิดขึ้นจำนวนมาก และหยั่งรากลึก โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลือกพันธุ์ข้าวแต่อย่างใด พันธุ์ข้าวธรรมดาๆ ที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองนี่แหละ สามารถที่จะทะลึ่งเหนือน้ำได้หากปลูกด้วยวิถีอินทรีย์ หากน้ำค่อยๆ ไหลลงมาวันละนิด วันละหน่อย ข้าวก็จะทะลึ่งขึ้น สูงขึ้นทันได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่ง คิด พูด ฝันขึ้นเล่นๆ แต่เป็นสิ่งที่ชาวนาคนไทยสมัยก่อนมีชีวิตอยู่กับมันจริงๆ อาจารย์ยักษ์สมัยเด็กๆ น้ำท่วมหลากมาทุกปีก็ทำอย่างนี้แล้วข้าวก็ไม่เคยเสียหาย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ต้องเป็นข้าวพันธุ์พิเศษอะไร ข้าวขาว ข้าวเหลือง ข้าวเหลืองปะทิว เหลืองบางใบ เจ๊กเชย ข้าวอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นพันธุ์ไทยแท้ๆ มีชื่อเสียงโด่งดังมาในอดีตสามารถหนีน้ำได้ในระดับ 2-3 เมตร เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องเล็ก หากว่าเราจะสื่อให้คนเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้ และสามารถที่จะช่วยกันทำคนละไม้ คนละมือ ทั้ง 5 ภาคส่วนได้ก็จะทำให้เกิดทางรอดของสังคมไทย ยิ่งสิ่งใดที่เกินกำลังภาคประชาชนได้ภาครัฐเข้าไปช่วยสนับสนุนได้ก็จะเยี่ยม ยอด ดังที่พระเจ้าอยู่หัวฯ เคยตรัสไว้ว่า การขุดสระ ขุดแหล่งน้ำ ประชาชนทำเองไม่ได้ เนื่องจากไม่มีกำลังพอ ภาครัฐก็ต้องเข้าไปช่วย หรือหากภาคเอกชนรายใดเข้าใจในทิศทางนี้ก็ควรที่จะเข้าไปช่วย ภาควิชาการ โรงเรียน วัดก็เข้าไปสนับสนุน ไปให้ข้อมูล เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า วิถีแบบนี้แหละที่จะทำให้ตัวเองอยู่ได้ สังคมอยู่ได้ ประเทศชาติก็อยู่ได้ ส่วนภาคประชาชนนั้นก็มีหน้าที่หลักคือ ต้องลงมือทำด้วยตนเอง รวมกลุ่มกัน จับมือกันลงมือทำในบ้านตัวเอง ในที่ดินของตัวเอง คนไทยหกสิบกว่าล้านคนถ้าช่วยกันทำสัก 2-3 ล้านคน ถ้าลุกขึ้นทำกันจริงๆ จังๆ ปัญหาน้ำท่วมก็แทบจะไม่ก่อปัญหาให้กับประชาชน แต่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจแล้วก็เพียรช่วยกันทำ
อันที่จริงแล้ว โมเดลที่เวิร์ค ที่ทำงานได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของใหม่ คิดใหม่ ของนอก หากแต่เป็นโมเดลที่อยู่กับเรามานานแล้ว หากแต่เราหลงลืมไป อย่างวิถีชีวิต โคก หนอง นา เช่นนี้
อ.ยักษ์ มหาลัยคอกหมู

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น